บางครั้งความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับ Headhunter มีลักษณะคล้ายกับความรักและความเกลียดผสมผสานกันไป ข้างนอกพวกเขาทำตัวเหมือนนายหน้าจัดหางาน เริ่มต้นด้วยกระบวนการสมัคร โดยใช้ประโยคในตำนาน: คุณสามารถพูดได้อย่างอิสระหรือไม่? หรือคุณสะดวกคุยหรือเปล่า? แน่นอนว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีเมื่อ Headhunter โทรมาหาและเสนอความท้าทายใหม่ให้กับคุณ นั่นเป็นนิมิตรหมายที่ดีเพราะคุณอยู่ในเรดาร์ของเขาแล้ว คุณมีมูลค่าทางการตลาด! นั่นเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวคุณเองอย่างมาก อย่างไรก็ตามคุณอาจทำลายทุกอย่างภายใน 2-3 นาทีแรกนี้โดยสิ้นเชิง เพราะการรับมือกับเฮดฮันเตอร์นั้น ต้องการความสนใจและทักษะทางยุทธวิธีเป็นพิเศษ ดังนั้นทาง Headhunter ที่จริงจังถามว่าคุณสะดวกที่จะคุยหรือไม่? มันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณสามารถตอบสนองได้อย่างถูกต้อง
คำจำกัดความของ Headhunter :
คำว่า Headhunter หมายถึงอะไร?
คำว่า "Headhunter" มาจากภาษาอังกฤษ คำแปล “นักล่าค่าหัว” ซึงมีความหมายแฝง ตามคำจำกัดความ Headhunter (หรือที่เรียกอีกอย่างว่าที่ปรึกษาด้านการสรรหาบุคลากร) ทำหน้าที่มองหาผู้เชี่ยวชาญและผู้บริหารที่มีคุณภาพสูงในนามของบริษัทที่ว่าจ้าง
Headhunters ทำงานแทนที่การสรรหาของบริษัท สำหรับแต่ละตำแหน่ง ค่าธรรมเนียมในการสรรหาขึ้นอยู่กับความสำเร็จในอาชีพของผู้สมัคร หรือราวๆ 20%-30% ของเงินเดือนประจำปีของตำแหน่งงานว่าง ดังนั้นที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะมองหาผู้บริหารหรือผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับค่าจ้างดี
ขอบเขตของสัญญางานของ Headhunter อาจไม่เพียงแค่การค้นหาบุคลากรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการบริการให้คำปรึกษาที่เกี่ยวข้องกับสัญญาจ้างงานค่าตอบแทนของตำแหน่ง หรือแม้แต่การพัฒนาบุคลากร
เราควรจะทำอย่างไรเมื่อ Headhunter โทรหา?
ก่อนอื่นสิ่งสำคัญคือคุณต้องสามารถพูดได้อย่างอิสระ อย่าลืมว่าต้องเป็นกลางและถ้ามีเพื่อนร่วมงานคนอื่นอยู่แถวนั้นและอาจฟังอยู่ พูดก็แค่บอกว่าไม่สะดวก หรือคุณยุ่งอยู่และยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำและต้องการให้เขาโทรกลับในภายหลัง
จากนั้นรับหมายเลขโทร.จาก Headhunter ทางที่ดีที่สุดคือการตอบสนองในแบบที่คุณเคยทำ ทำเสมือนคนพูดสายเป็นลูกค้าหรือผู้ให้บริการที่คุณเลื่อนเวลาการนัดหมายออกไปอย่างเนียนๆ
ทำไมมันจึงจำเป็น? เพราะคุณไม่ควรบอกเพื่อนร่วมงานของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวหน้างานว่าพวกเขากำลังติดต่อกับ Headhunter มิฉะนั้นคุณอาจถูกพิจารณาว่าไม่ซื่อสัตย์กับบริษัทปัจจุบัน ตราบาปนี้ก็ยังคงอยู่ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้เปลี่ยนงาน
ในการสนทนาครั้งแรกกับที่ปรึกษาด้านบุคลากรโปรดฟังสิ่งที่ Headhunter นำเสนอก่อน ถึงแม้ว่าคุณจะไม่สนใจที่จะเปลี่ยนงาน คุณจะได้รับแนวคิดของข้อเสนอ ท้ายที่สุดมันยังบอกบางสิ่งเกี่ยวกับวิธีการรับรู้ของคุณในตลาด และอาจเป็นไปในทิศทางที่แตกต่างกว่าที่คุณต้องการ
ดังนั้นการที่ Headhunter โทรหา จะเป็นการตรวจสอบมูลค่าตลาดของตัวคุณเอง ดังนั้นกฎที่สำคัญที่สุดสำหรับการติดต่อครั้งแรกกับที่ปรึกษาด้านการสรรหาคือ:
เพียงแค่อย่ากังวลและอย่าคุยโว พูดอย่างที่เคยพูด เมื่อเฮดฮันเตอร์โทรหา นั่นเปรียบเสมือนคำชมเชย เพราะเขามีความสนใจและคิดว่าคุณเหมาะสมกับตำแหน่งงาน สิ่งที่อาจเกิดขึ้นยังมีอีกมากที่จะกล่าว
ไม่ว่าคุณจะรู้สึกภาคภูมิใจในการติดต่อจาก Headhunter มากแค่ไหนก็ตาม คุณควรสื่อสารแบบระมัดระวัง อย่าปล่อยให้มันแข็งแกร่งเกินจนเกินไป และคุณไม่ควรขอตัวเลขเงินเดือนทันที (เพราะจะแสดงให้เห็นว่าคุณโลภ) คุณไม่ควรพูดถึงนายจ้างในปัจจุบันของคุณในทางลบ (อาจถึงตายได้!)
คุณควรแสดงความสนใจทั่วไปในความท้าทายใหม่ และจัดให้มีการนัดสัมภาษณ์ทางแบบเจอหน้าครั้งแรก (face-to-face) กับที่ปรึกษาฝ่ายทรัพยากรบุคคล
แม้ว่าคุณจะถูกโทรหา - โปรดอย่าอยู่เฉยๆ หากต้องการสอบถามเกี่ยวกับบริษัทที่สรรหาในตอนนี้ ที่ปรึกษาด้านบุคลากรที่จริงจังจะไม่ตอบคำถามนี้ในเวลานี้ ซึ่งการตอบคำถามนี้จะมาในภายหลัง
อย่างไรก็ตามคุณสามารถขอชื่อเต็มของเขา รายละเอียดการติดต่อของเขา (อย่าลืมจดไว้!) ดูว่า Headhunter ทำงานให้กับ Executive Search / Recruitment Agency ไหนและดูความเชี่ยวชาญของเขาในอุตสาหกรรม - จากนั้นตรวจสอบข้อมูลอ้างอิงของคุณ เพราะท้ายที่สุดคุณคงไม่อย่ากให้อาชีพของคุณตกอยู่ในมือของใครที่คุณไม่รู้จัก
คุณสามารถถามอะไรได้อีกบ้าง: งานนี้เป็นงานอะไร? ข้อมูลที่สำคัญเช่น ประเภทธุรกิจ ขนาดของบริษัท ภูมิภาค ตำแหน่ง การตั้งถิ่นฐาน ตามลำดับ
ลองคิดให้รอบคอบและตัดสินใจให้เร็วที่สุดหากคุณสนใจในงานที่เสนอ แต่ถ้าหากงานไม่เหมาะกับคุณ ก็ให้พูดออกไปตรงๆอย่างนั้น แต่อย่าโกรธเคืองหากข้อเสนอนั้นต่ำกว่าระดับงานของคุณ และคุณควรแสดงออกไปว่าคุณก็เปิดรับหาความท้าทายใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ
หาก Headhunter ขอประวัติส่วนตัวของคุณโปรดอย่าส่งมันง่ายจนเกินไป เพราะอาจมีแกะดำที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ค้าขายกับมัน และคุณคงไม่ต้องการให้ CV ของคุณหมุนเวียนในแผนกทรัพยากรบุคคลต่าง ๆ - ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือในบริษัท ของคุณเอง
ดังนั้นคุณควรส่ง cv/resume หลังจากที่มีการสนทนากันในครั้งที่ 2 หรือส่งให้สำหรับการสนทนาส่วนตัว face-to-face ข้อมูลที่สำคัญที่สุดในประวัติส่วนตัวของคุณสามารถหาได้ทางอินเทอร์เน็ตอยู่ดี
เมื่อคุณโทรคุยกับ Headhunter เพื่อให้เค้าเสนองานคุณ คุณควรจะยิ้มแม้จะคุยโทรศัพท์ก็ตาม เพราะคนที่ฟังจะสามารถได้ยินสิ่งนั้นและเขาจะเปิดกว้างและมีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น
คุณยังสามารถลุกขึ้นในระหว่างการโทรและเดินไปรอบๆห้อง มันอาจจะฟังดูแปลก แต่ว่าใช้ได้ผล เพราะคุณจะฟังดูมีพลังและมุ่งมั่นมากขึ้นในทันที ในทางกลับกันใครที่นั่งแหมะบนเก้าอี้ มันจะฟังดูน่าเบื่อในโทรศัพท์เสมอ
อย่าทำผิดพลาดในการถามว่าเฮดฮันเตอร์มาเจอคุณได้อย่างไร มันไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นมาและคุณจะสูญเสียโอกาสในตำแหน่งงานว่างนั้นๆ: คุณเป็นผู้สมัครอันดับต้นๆ - เขาต้องมาหาคุณ! นั่นจะต้องเป็นทัศนคติของคุณเท่านั้น
นั่นไม่ใช่ความเย่อหยิ่ง แต่เป็นแค่ความมั่นใจในตัวเอง ในชีวิตการทำงานคุณควรแสดงให้เห็นว่าคุณรู้จักจุดแข็งของตัวเองและตระหนักถึงคุณค่าของคุณ
และแม้ว่าที่ปรึกษาด้านการสรรหาบุคลากรจะไม่ได้โทรมาเสนองานให้คุณ เพียงแต่เขากำลังอยากให้คุณแนะนำบุคคลที่คุณรู้จักและเหมาะสมกับตำแหน่งงาน นั่นถือเป็นสิ่งที่ดี: เขาคิดว่าคุณมีความสามารถที่จะช่วยเหลือเขาในเรื่องนี้ และคุณควรทำเช่นนั้นด้วย สิ่งนี้ยังทำให้คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญและผู้รู้ในตลาด - และไม่มี Headhunter คนไหนที่จะลืมความบุญคุณเช่นนี้
หากคุณได้รับการติดต่อจาก Headhunter คำถามเกี่ยวกับอายุของคุณ ต้นกำเนิดหรือศาสนาของคุณนั้น ไม่สามารถถามได้ในบางประเทศ (โดยเฉพาะในประเทศทางตะวันตก) เพราะนั่นเป็นคำถามที่ผิดกฎหมาย - เหมือนกับการสัมภาษณ์งานอื่น ๆ ที่ปรึกษาด้านการสรรหาที่ถามคำถามพวกนี้ถือว่าไม่เป็นมืออาชีพ! แต่หากเป็นประเทศในระแวกเอเซีย เช่นที่ประเทศไทย หรือประเทศอินโดเนเซีย คำถามเกี่ยวกับอายุ และสัญชาติ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
หากการสนทนานั้นใช้เวลานานและคุณได้ส่งสัญญาณว่าคุณมีความสนใจในตัวงาน คุณควรนัดคุยกันเป็นครั้งที่สองและคุณสามารถคาดหวังคำถามด้านล่างนี้ ที่จะแสดงถึงแรงจูงใจ เป้าหมาย และการสะท้อนถึงตัวคุณเอง
คำถาม 10 ข้อเหล่านี้เป็นเรื่องปกติสำหรับการสนทนากัน Headhunter :
ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณคืออะไร? และคุณประสบความสำเร็จได้อย่างไร?
อะไรคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณ? และคุณจัดการมันได้อย่างไร?
คุณเสียใจอะไรมากที่สุด? ทำไม?
อะไรคือแรงจูงใจของคุณ?
คุณจะอธิบายสไตล์ความเป็นผู้นำของคุณอย่างไร?
คุณเห็นตัวเองอยู่ที่ไหนในอีกห้าปี?
คุณมีเป้าหมายอะไรในอาชีพการงานของคุณ?
คุณไม่ชอบอะไรที่เกี่ยวกับตำแหน่งงานปัจจุบันของคุณ?
ทำไมคุณพร้อมที่จะออกจากตำแหน่งปัจจุบันของคุณ?
คุณพร้อมที่จะย้ายหรือยัง?
คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ไม่ควรยิงโป้งออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะมันจะดูเหมือนว่าคุณรอคอยคำถามเหล่านี้ และมีการเตรียมคำตอบไว้ล่วงหน้า แต่ก็ไม่ควรตอบอย่างลังเลเกินไป ท้ายที่สุดคำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่คุณควรถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก คำถามเหล่านี้ช่วยในการวางแผนอาชีพของคุณ เช่นเดียวกับการแก้ไข หากคุณหลงทางในเส้นทางอาชีพของคุณ
แน่นอนว่ายังมีคำถามที่คุณควรถาม Headhunter - อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่าคุณเป็นมืออาชีพและไม่ได้ต้องการหางานใดๆ
แน่นอนว่า จากรายการต่อไปนี้ คุณไม่จำเป็นต้องถามคำถามทั้งหมด แต่คุณควรจะคิดและมีความสนใจในหัวข้อที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
อุตสาหกรรมและเป้าหมายของบริษัทคืออะไร? ขนาดองค์กร? ผลประกอบการ?
สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นอย่างไร?
มีกระบวนการเปลี่ยนแปลงแบบเฉียบพลันและต่อเนื่องที่ส่งผลกระทบต่อตำแหน่งนี้หรือไม่?
ตำแหน่งอยู่ที่ไหน? มีลูกน้องกี่คน? ฉันต้องรายงานใคร?
เป็นตำแหน่งใหม่? หรือว่ามาแทนคนเก่า?
ทำไมพนักงานคนก่อนถึงลาออก?
กรอบเงินเดือนอยู่ที่เท่าไหร่?
เหตุผลที่ดีที่ทำให้คนเราเปลี่ยนงานในปัจจุบันคือการได้เลื่อนตำแหน่ง หรือได้รับความรับผิดชอบและค่าตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจากงานเดิมของเรา
การได้รับการเลื่อนตำแหน่ง? (Promotion) นั่นฟังดูง่าย แต่เมื่อคุณได้รับการเลื่อนตำแหน่งจะไม่มีอะไรมาในตอนแรก บ่อยครั้งที่การเลื่อนตำแหน่งเป็นเพียงแค่ป้ายกำกับ หลังจากนั้นคุณก็รู้อะไรบางอย่าง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่ผิดที่จะลองเจรจาต่อรอง
อีกเหตุผลที่ดีสำหรับการเปลี่ยนงานคือ มุมมองที่แท้จริงในงานใหม่ที่คุณไม่เคยมีมาก่อน อย่างไรก็ตามคุณควรระวังคำพูดของ headhunters เพราะพวกเขาอาจจะสัญญาอะไรแบบนั้น มันสำคัญมากที่พวกเขาสามารถร่างบทบาทใหม่ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
อย่างไรก็ตามควรระวังเมื่อเปลี่ยนงานจากเหตุผลที่ว่าคุณไม่ได้เลื่อนตำแหน่งหรืออยู่ภายใต้ความกดดัน มันไปเร็วมาเร็ว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ว่างานใหม่จะกำจัดทุกอย่างที่รบกวนจิตใจไปหรือไม่ มิฉะนั้นหลังจากเปลี่ยนงานใหม่ คุณจะตกอยู่ในสถารการณ์เดิมๆ และไม่มีประโยชน์ในการเปลี่ยนงานครั้งนั้น
คนทำงานหลายคนใฝ่ฝันถึงการถูก Headhunter โทรหาและได้รับการเสนองานในฝันจากที่ปรึกษาด้านการจัดหางาน ในความเป็นจริงหลายคนกำลังรอแบบไร้จุดหมาย บางทีอาจไม่มีการโทรจาก Headhunter ... แต่ถ้าที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลโทรหาคนทุกคนที่คุณรู้จักหรือเพื่อนร่วมงานคุณทุกคน แต่ทำไมไม่เคยโทรหาตัวคุณล่ะ?
ไม่มีคำถามที่จะกำจัดความสงสัย และจะอธิบายได้อย่างไรว่าคนอื่นๆที่เปลี่ยนงาน พวกอยู่ในเรดาร์ของ Headhunters และ HR Consultants ได้อย่างไร?
แต่หยุดก่อน! ก่อนที่คุณจะเริ่มต้นโทรหา Headhunters ทั้งหมดและส่งประวัติย่อของคุณเป็นอีเมลไปยัง Recruitment agency ทุกๆแห่ง นั่นอาจไม่ใช่วิธีการที่ดีเลย
อันดับแรกมันน่าอาย ประการที่สองคุณดูเหมือนมือไม่ถึง และคุณเป็นผู้ร้องขอ แทนที่จะอยู่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในตำแหน่งของคุณ
ผู้ที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการทำงาน (fresh graduate) ควรมีส่วนร่วมในเครือข่าย (ออนไลน์) หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่ได้พบปะกับที่ปรึกษาด้านการสรรหาต่างๆและทำความรู้จักกับพวกเขาที่นั่นโดยบังเอิญ ที่บุฟเฟ่ต์หรือไวน์อัดลม (networking) เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่มีไว้เพียงแต่สำหรับผู้บริหารอย่างเดียว
หากมีคนแสดงความสนใจในการสนทนากับคุณ คุณสามารถส่งจดหมายส่วนตัว โดยไม่มีประวัติส่วนตัว (CV/resume) ขอบคุณสำหรับการสนทนาที่ดีและหวังว่าคุณจะได้รับการติดต่อในภายหลัง
นอกจากนี้คุณจะดูเป็นมืออาชีพถ้าหากคุณสามารถแนะนำเพื่อนร่วมงานที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ด้วยวิธีนี้คุณจะได้ติดต่ออย่างมืออาชีพ มีเสน่ห์และไม่สร้างความรำคาญให้กับผู้ให้คำปรึกษาด้านการสรรหา ซึ่งพวกเขาจะได้รู้จักชื่อของคุณ ดังนั้นคุณจึงได้ทำการติดต่อและดึงดูดความสนใจจากพวกเขา
สำหรับผู้จัดการและผู้บริหารระดับสูง กลยุทธ์นี้มีความเหมาะสมเพียงบางส่วนเท่านั้น cold calling เป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับพวกเขา
ดังนั้นวิธีเดียวที่ใช้ได้คือ เล่นเป็นแก๊งค์: ใครก็ตามที่ต้องการดึงดูดความสนใจ ต้องทำตามคำแนะนำของบุคคลที่สาม นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดอยู่แล้ว
ดังนั้นไม่เพียงแต่เก็บรายชื่อ Headhunter หรือผู้ให้คำปรึกษาบุคลากร แต่ยังต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คนเหล่านั้น
ก่อนที่จะโทรหาใครซักคน Headhunter จะต้องทำงานสองอย่างเบื้องต้นคือ:
ชื่อเสียงของคุณจะแข็งแกร่งขึ้น หากคุณมีผู้สนับสนุนที่มีชื่อเสียงสูง
ในทางกลับกันหากคุณยังไม่มีเครือข่าย คุณควรเริ่มสร้างเครือข่ายทันที
ประวัติส่วนตัวของคุณควรส่งไปยังที่ปรึกษาการรสรรหา (Recruitment Agency) ที่ได้รับการคัดเลือกเท่านั้น ใครที่ยิงข้อมูลของเขาไปสุ่มสี่สุ่มห้า จะทำให้ตัวเองเจ็บปวดอย่างยั่งยืน เพราะมันสามารถเกิดขึ้นได้เสมอว่า หนึ่งในพวกเขาปากสว่าง และบังเอิญประวัติส่วนตัวของคุณอาจโดนส่งไปหลากหลายบริษัท จนกระทั่งไปลงเอยกับนายจ้างปัจจุบันของคุณ คุณจะรู้สึกแย่มากถ้าเจ้านายได้รับรู้คุณไม่ได้ภักดีในขณะนี้
ไม่ใช่ความลับใดที่ผู้สรรหาจะใช้เครือข่ายธุรกิจอย่างเช่น Linkedin เพื่อค้นหาและดึงดูดผู้มีความสามารถ สำหรับบางคนยังมีฟังก์ชั่นการค้นหาพิเศษอีกด้วย
วิธีที่ง่ายที่สุดในการดึงดูดความสนใจ Headhunter ส่วนใหญ่คือการตั้งชื่อการค้นหางานของคุณอย่างชัดเจน ว่า “กำลังมองหางาน" แต่ข้อผิดพลาดคือ เพื่อนร่วมงานหรือแย่กว่านั้นเจ้านายก็สามารถอ่าน status นั้นได้ ประการที่สองคือคุณอาจสูญเสียพื้นที่สำหรับการเจรจาต่อรอง เพราะผู้ที่กำลังแสวงหางานใหม่อย่างแข็งขัน จะทำให้อำนาจต่อรองลดลง
การที่คุณกรอกข้อมูลให้สมบูรณ์และเพิ่มประสิทธิภาพโปรไฟล์ของคุณเอง จะทำให้คุณดูฉลาดและสง่างามมากขึ้น
ในความเป็นจริงรูปภาพโปรไฟล์มีบทบาทสำคัญมาก ในอัลกอริทึมการค้นหา เช่นในฐานข้อมูล CV / resume การใส่รูปภาพโปรไฟล์จะถือว่าเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่ง สำหรับความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน เจ้าของโปรไฟล์ก็ต้องทำให้ตัวเองดูดี สำหรับนายจ้างที่คาดหวัง
ขั้นตอนที่สำคัญข้อที่สองคือ การรวบรวมข้อมูลในโปรไฟล์เท่าที่จะทำได้ คำค้นหาและความสามารถที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่คุณเคยทำและต้องการทำหรือเกี่ยวข้องกับงานที่คุณต้องการ เพราะส่วนใหญ่แล้วนั่นคือสิ่งที่คุณกำลังมองหา
ผู้ที่ต้องการดึงดูดความสนใจมากขึ้น ควรเข้าร่วมในกลุ่มและฟอรั่มที่เหมาะสม บางทีที่ปรึกษาฝ่ายทรัพยากรบุคคลบางคนกำลังพูดคุยหรือขอคำแนะนำในกลุ่มหรือฟอรั่มนั้นๆอยู่แล้วก็เป็นได้
ในตลาดไม่มีความโปร่งใส และในขณะนี้ตัวเลขผู้ให้คำปรึกษาด้านการสรรหาบุคลากรก็มีหลายเจ้าด้วยกัน หากคุณได้รับการติดต่อจาก Headhunter ที่ไม่สุภาพ สิ่งที่คุณควรทำคือ วางสายทันที! เพราะถ้าคุณยังทนสนทนาด้วยก็อาจจะเป็นการฆ่าตัวตายทางอาชีพ
แต่คุณจะรู้จักแกะดำของอุตสาหกรรมได้อย่างไร?
ลองทำแบบนี้ : มีข้อบ่งบอกอยู่ไม่กี่ข้อก็คือ
1. ความซ่อนเร้น หรือการปิดบัง
คุณชื่ออะไร? ฉันจะหาคุณทางอินเทอร์เน็ตได้จากที่ไหน? อ๋อ คุณไม่สามารถเปิดเผย ... เข้าใจได้ถ้า Headhunters ไม่ต้องการบอกชื่อลูกค้าของเขาในการติดต่อครั้งแรก แต่คุณต้องมีการตรวจสอบอย่างจริงจัง เพราะท้ายสุด นายจ้างของคุณเองก็สามารถโทรหาคุณเพื่อทดสอบความภักดีของพนักงาน คุณทำงานให้กับ Executive Search / Recruitment Agency ใด? คุณไม่พูดเหรอ? หาก Headhunter ตอบสนองเช่นนั้นเป็นสิ่งที่รับประกันว่ามีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล
การโทรสุ่ม หรือ Cold calling นั้นไม่สามารถยอมรับได้สำหรับ Headhunters อย่างไรก็ตามก็เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ หาก Headhunter โทรไปที่ทำงาน ดังนั้นการคุยสนทนาควรสั้น Headhunter ก็ได้แค่พยายามสอบถามว่าคุณสะดวกที่จะคุยหรือไม่? และก็พยายามบอกเกริ่นเรื่องตำแหน่งงานว่างที่จะมานำเสนอ และขอเบอร์มือถือส่วนตัวที่สามารถติดต่อคุณได้ แค่นั้น ใครก็ตามที่ไม่มีข้อมูลของคุณเลยและต้องการทราบข้อมูลของคุณเพิ่มเติม ไม่เพียงแต่เป็นการรบกวนคุณแล้ว แต่ยังเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เชี่ยวชาญในงานของเขา คุณควรอยู่ห่างๆ Headhunter จำพวกนี้
สิ่งที่น่ารำคาญมากกว่าการสัมภาษณ์แบบโทรสุ่ม คือคำถามเกี่ยวกับประวัติย่อที่เผยแพร่ต่อสาธารณชนในเน็ตแล้ว ทุกวันนี้เครือข่ายธุรกิจอย่าง Linkedin ทำให้ Headhunter ทำการบ้านได้ง่ายขึ้น การศึกษา ความสนใจประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา และความสำเร็จ - เมื่อคุณเปิดเผยต่อสาธารณะแล้ว ก็ไม่มีใครต้องถาม ถ้าเขาหรือเธอทำมันก็หมายความว่า พวกเขาไม่ได้เป็นมืออาชีพที่ชำนาญนั่นเอง แต่อาจเป็นไปได้ที่ข้อมูลในอินเตอร์เนท อย่างเช่น Jobsdb Jobthai หรือ Linkedin ไม่ update หรือไม่ละเอียด Recruitment Consultant ก็อาจขอให้ผู้สมัคร ส่ง resume / cv ที่มีการปรับปรุงมาให้อีกที
เมื่อถึงจุดหนึ่ง Headhunter ก็ควรจะต้องบอกข้อมูล นายจ้างคนไหน? งานนี้เกี่ยวกับอะไร? ใครคือหัวหน้าคนใหม่? ในที่สุด Headhunters ต้องบอกกับผู้สมัครของพวกเขา ดังนั้นงานต่อไปจะต้องดีกว่างานปัจจุบัน ใครเป็นผู้ให้คำสัญญาผิดๆ หรือปกปิดความจริงทางเศรษฐกิจขององค์กร หรือมองตัวละครที่เป็นปัญหาของเจ้านาย และทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มือสอง หากสิ่งนี้เกิดขึ้น ทั้งสองฝั่งจะแปดเปื้อน และนี่ไม่ใช่วิธีทำงานของ Headhunter ที่ดี
ในกรณีที่มีความมุ่งมั่นให้มีการเข้าใจผิดต่อลูกค้า การโทรจะกลายเป็นการดูหมิ่นอย่างสมบูรณ์ ถ้างานที่เสนอนั้นไม่ได้หมายถึงการย้ายอาชีพที่ดีกว่า แต่ตรงกันข้าม Headhunter ไม่ได้ทำการบ้านของเขา (ดูจุดที่ 3) หรือบอกทางอ้อมถึงสิ่งที่เขาคิด
ที่ปรึกษาด้านการสรรหาตำแหน่งงานทำได้ค่อนข้างดี: เป็นเรื่องเกี่ยวกับการให้คำแนะนำแก่พนักงาน แต่ไม่ใช่เพื่อการสั่งสอนหรือมีอิทธิพลเหนือผู้สมัคร มันจะค่อนข้างแย่ถ้าไม่ได้ถามผู้สมัครว่าเขาต้องการไปที่ไหนและเป้าหมายทางอาชีพของเขาคืออะไร? ได้แต่ชักชวนให้เขาไล่ตามเป้าหมายที่ Headhunter ต้องการและแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับงานที่เสนอ
ไม่ใช่ผู้สมัครทุกคนจะมาถึงจุดสิ้นสุดในตอนท้าย เป็นธรรมดาเพราะนี่เป็นเพียงกระบวนการคัดเลือก อย่างไรก็ตาม Headhunter ที่จริงจังมองว่าผู้สมัครของพวกเขาเป็นพันธมิตรที่ยืนยงซึ่งพวกเขาสามารถก้าวหน้าในอนาคตได้ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ยังส่งผลให้ Headhunter มีภาระผูกพันที่จะต้องอธิบายว่าทำไมงานที่ไปสัมภาษณ์จึงไม่ผ่าน และการหายไปโดยไม่มีการรายงานผล เผยให้เห็นว่า Headhunter คนนั้นไม่มีความเป็นมืออาชีพ
ไม่ว่าคุณจะเป็นคนทำงานรุ่นใหม่ มืออาชีพ ผู้บริหาร หรือผู้สมัครจากสาขาอื่น - เมื่อคุณแสดงความสนใจในงานที่นำเสนอ มันเป็นสิ่งนี้เป็นประโยชน์เสมอ เมื่อมองในแว๊บแรก นั่นเป็นเพราะมันเปิดประตูสู่งานใหม่ที่คุณอาจไม่สามารถเข้าถึงได้ นี่จะทำให้งานและอาชีพของคุณก้าวไปข้างหน้าอย่างว่องไว
นอกจากนี้ข้อเสนอจาก headhunter และที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลที่เกี่ยวข้อง นำมาพร้อมกับด้านบวกในด้านอื่นๆเพิ่มเติม เช่นการเพิ่มความมั่นใจในตนเองสำหรับพนักงานทุกคน ความสำเร็จและการสร้างแบรนด์ส่วนบุคคลนั้นมีลักษณะภายนอกที่ประสบความสำเร็จ พนักงานเหล่านั้นมักจะมีความมั่นใจและมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับงานและความท้าทายในอนาคตซึ่งจะทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
ในท้ายสุดการนำเสนองานของ Headhunter สามารถเสริมการเจรจาต่อรองของคุณกับบริษัทปัจจุบัน คุณได้เห็นภาพที่แม่นยำมากขึ้นของมูลค่าตลาดปัจจุบันของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณได้รับข้อเสนอเงินเดือนจากบริษัทที่คาดหวัง แม้ว่าในขณะนั้น คุณยังไม่ได้พิจารณางานอื่น ๆ มันจะเป็นข้อได้เปรียบที่ดีในการเจรจาต่อรองเงินเดือนครั้งต่อไปหากคุณรู้ว่า ความเชี่ยวชาญของคุณมีค่าเท่าไหร่ในตลาดแรงงานในสาขาของคุณ